แน่นอน! โทรศัพท์ Redmi ทั้ง 2 รุ่นถึงแม้จะอยู่ในซีรีส์ Pro เหมือนกัน แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าดีไซน์ของตัวเครื่องนั้นไม่เหมือนกันสักทีเดียว
ในรุ่นมาร์ฐานอย่าง Xiaomi Redmi Note 12 Pro 5G มาดีไซน์แบบแบนราบ ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง รวมถึงขอบเฟรมที่มีความเป็นเหลี่ยมอย่างเห็นได้ชัด ดูร่วมสมัยและกลมกลืนไปกับดีไซน์มือถือยอดนิยมของยุคนี้ ด้านฝาหลังของ Redmi Note 12 Pro 5G มาพร้อมกับการออกแบบที่น่าประทับใจอย่างแท้จริง มันใช้วัสดุเป็นกระจกแบบด้านที่สวยงามและมีมิติ เมื่อจับถือคุณจะได้รับความรู้สึกที่ดีและดูหรูหรามากขึ้น
กระจกด้านนี้ยังมีความสามารถในการพรางลายนิ้วมือได้ดีอีกด้วย ทำให้การปลดล็อคหน้าจอด้วยการสแกนลายนิ้วมือเป็นเรื่องสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้ การที่ตัวเครื่องเบาบางทำให้ง่ายต่อการพกพา และขอบจอแสดงผลที่บางก็เพิ่มความละเอียดในการรับชมเนื้อหาบนหน้าจอ ทำให้ประสบการณ์ใช้งานมือถือกลายเป็นอย่างน่าประทับใจ
มาในฟากของ Xiaomi Redmi Note 12 Pro plus 5G รุ่นท็อปสุดของซีรีส์มาในดีไซน์กระจกหลังที่ดูงามและมีการโค้งเงาที่น่าทึ่ง พื้นผิวกระจกในแต่ละสีที่แตกต่างกันยังเพิ่มความน่าสนใจในดีไซน์อีกด้วย การออกแบบนี้อาจมีความคล้ายกับรุ่นเรือธงอย่าง Xiaomi 13 Series ที่สวยงามและมีความหรูหราอยู่ในรางวัลเดียวกัน สำหรับขอบเฟรมตัวเครื่องที่มาในรูปทรงเหลี่ยมคล้ายกัน
การที่มันมาหนาและหนักกว่ารุ่น Pro เล็กน้อยอาจเพิ่มความคุ้มค่าและความทนทานในการใช้งานและพกพา นอกจากนี้ การใช้กระจกแบบเงายังช่วยในการป้องกันลายนิ้วมือที่กระจายอย่างดี และสำหรับคนที่มือเหงื่อออกเยอะ ไม่ต้องกังวลเพราะภายในกล่องจะมีเคสใสที่มาให้พร้อมแล้ว ซึ่งจะช่วยให้คุณรักษาความสวยงามและความใหม่ของ Xiaomi Redmi Note 12 Pro plus 5G ได้อย่างดี
จุดรวมที่ 2 รุ่นนี้คือกล้องหลังที่มาในดีไซน์ฐานโมดูลแบบสี่เหลี่ยมที่มีการยื่นออกมานอกฐานเพื่อเพิ่มความพิเศษในการถ่ายภาพ โดยโทรศัพท์ Redmi ทั้ง 2 รุ่นมีความหลากหลายในการใช้วัสดุในส่วนของกล้อง Xiaomi Redmi Note 12 Pro 5G ใช้กระจกพร้อมวงแหวนเลนส์ที่มาพร้อมกับดีไซน์เงางาม ซึ่งเพิ่มความสวยงามและความหรูหราให้กับกล้องหลังของมือถือ ส่วน Xiaomi Redmi Note 12 Pro plus 5G ใช้วัสดุโลหะขัดด้านเสริมความพรีเมียมในดีไซน์ ทำให้มีความหนักและความทนทานมากยิ่งขึ้น
ทั้ง 2 รุ่นมีกล้องหลังที่ให้คุณความสามารถในการถ่ายภาพที่มีคุณภาพและความชัดเจน โดยยื่นออกมานอกฐานเพื่อให้เห็นการใช้งานเลนส์อย่างชัดเจน คุณสามารถเลือกตามความชื่นชอบและความต้องการของคุณได้เลย
โทรศัพท์ Redmi ทั้ง 2 รุ่นถึงแม้ว่าจะมาในดีไซน์ที่ต่างกัน แต่จอแสดงผลเรียกได้ว่าถอดแบบกันมาเห็น ๆ เพราะโทรศัพท์ Redmi 2 รุ่นนี้ใช้พาเนล Flow AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ลื่นไหล 120Hz สว่างสูงสุด 900nits สู้แสงแดดจัด ๆ ตอนบ่าย 3 ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้โทรศัพท์ Redmi ทั้ง 2 รุ่นยังรองรับ HDR10+ และ Dolby Vision ได้อีกด้วย ซึ่งจากการทดลองดูคลิป HDR 4K@60FPS บน YouTube บอกได้เลยว่าแทบไม่ต่างกันเลยจริง ๆ เพราะสีสัน ความสว่าง ความคมชัดต่าง ๆ เหมือนกันแบบ 100% ดังนั้นไม่ว่าจะรุ่นถูกรุ่นแพงจอแสดงผลก็จัดเต็มทั้งคู่ ดูคอนเทนต์ได้แบบฟิน ๆ ไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียว
Xiaomi Redmi Note 12 Pro 5G และ Xiaomi Redmi Note 12 Pro plus 5G ให้ลำโพงคู่สเตอริโอเสียงดี และที่พิเศษสุด ๆ คือโทรศัพท์ Redmi ทั้ง 2 รุ่นนี้รองรับ Dolby Atmos ระบบเสียงรอบทิศทางผ่านลำโพงตัวเครื่องโดยตรง ไม่ต้องต่อหูฟังก็ใช้ได้ นอกจากนี้ยังรองรับ Hi-Res Audio ทั้งผ่านสายหูฟัง และไร้สายด้วย ใครที่ชอบฟังเพลง ดูคอนเทนต์ต่าง ๆ บนมือถือจะต้องชอบแน่นอน
ส่วนคาแรกเตอร์เสียงของลำโพงทั้ง 2 รุ่นจะไม่เหมือนกันสักทีเดียว ลำโพงของ Xiaomi Redmi Note 12 Pro 5G เวทีเสียงจะค่อนข้างกว้าง เสียงจะออกไปในโทนใส ย่านแหลมเด่นฟุ้ง รายละเอียดเสียงร้องเครื่องดนตรีชัดเจน ส่วนรุ่นท็อป Xiaomi Redmi Note 12 Pro plus 5G เสียงจะค่อนข้างทุ้ม เบสแน่นกว่า และเสียงดังกว่าด้วย และโทรศัพท์ Redmi ทั้ง 2 รุ่นเมื่อเปิดโหมด Dolby Atmos แล้วเรียกได้ว่ายกระดับคุณภาพเสียงไปอีกขั้น รายละเอียดเสียงมีมิติมากขึ้น ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว
Redmi Note 12 Pro 5G มาพร้อมกับกล้องหลักที่มีความละเอียด 108MP ซึ่งมีความสามารถในการถ่ายภาพที่คมชัดและเนียนมากๆ โดยเฉพาะในสภาวะแสงดี นอกจากนี้ มีกล้อง Ultra-Wide 8MP ที่ช่วยให้คุณถ่ายภาพทางกว้างอย่างคมชัดและรวมถึงมุมกว้าง และมีกล้อง Macro 2MP และกล้อง Depth 2MP ที่ช่วยในการถ่ายภาพซูมหรือเซ็นเซอร์ลายนิ้วมืออย่างดีครับ
Redmi Note 12 Pro plus 5G มาพร้อมกับกล้องหลักที่มีความละเอียด 108MP เช่นกัน แต่เติมความพิเศษด้วยเลนส์แบบซูม 8MP ที่ช่วยในการถ่ายภาพทางไกลอย่างคมชัด นอกจากนี้ ยังมีกล้อง Ultra-Wide 16MP ที่ให้มุมกว้างและกล้อง Macro 2MP และกล้อง Depth 2MP เหมือนกับรุ่นที่แล้ว โทรศัพท์ Redmi ทั้ง 2 รุ่นมีความสามารถในการถ่ายภาพที่มีคุณภาพสูงและสามารถแต่งกล้องให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้
การมาพร้อมกับชิป Dimensity 1080 และสเปคหน่วยความจำที่มีความจุมากถึง 8GB + 256GB ทำให้ Redmi Note 12 Pro 5G และ Redmi Note 12 Pro plus 5G มีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกันอย่างมากในการใช้งานทั่วไปและการเล่นเกม ทั้ง 2 รุ่นสามารถเล่นเกมที่มีกราฟิกที่ยากขึ้นได้ครบถ้วน แต่ควรปรับกราฟิกให้เหมาะสมกับเกมเพื่อรักษาประสิทธิภาพและความเรียบร้อยในการเล่นเกม
อีกทั้งระบบ MIUI ยังมาพร้อมโหมด Game Turbo ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมของคุณเป็นไปอย่างสามารถและสนุกสนาน ดังนั้นคุณสามารถเล่นเกมฟอร์มยักษ์และกราฟิกเทพได้ในโทรศัพท์ Redmi ทั้ง 2 รุ่นนี้
ทั้ง Redmi Note 12 Pro 5G และ Redmi Note 12 Pro plus 5G มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 5,000 mAh เพื่อให้คุณสามารถใช้งานโทรศัพท์ของคุณได้นานๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่
แต่ที่แตกต่างกันคือระบบชาร์ทของทั้ง 2 รุ่น รุ่น Pro รองรับชาร์จไวสูงสุดที่ 67W ซึ่งก็ยังเร็วอยู่ครับ แต่รุ่น Pro plus รองรับถึง 120W ซึ่งชาร์จเร็วมาก นี่จะช่วยให้คุณได้รับแบตเตอรี่ที่เต็มแบบรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ ความอึดของแบตเตอรี่ยังขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคลด้วยครับ ถ้าคุณเป็นผู้ที่ใช้งานมือถืออย่างหนักหรือต้องการความสบายในการใช้งานนานๆ การรองรับชาร์จเร็วนี้อาจจะเป็นประโยชน์อย่างมาก
สำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักถ่ายรูปมืออาชีพแต่ต้องการมือถือที่ให้ประสบการณ์การใช้งานสมบูรณ์แบบในด้านความบันเทิง เช่นการดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกม รุ่นนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการรับประสบการณ์คุณภาพในการแสดงผลบนหน้าจอขนาดใหญ่
รุ่นนี้มาพร้อมจอแสดงผลที่รองรับทั้งคอนเทนต์ HDR10+ และ Dolby Vision ทำให้คุณสามารถดูหนังและคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ และพร้อมลำโพงคุณภาพดีที่สร้างประสบการณ์เสียงที่ดี นอกจากนี้ คุณยังสามารถเล่นเกมได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยที่ไม่ต้องสูญเสียคุณภาพการเล่นเกม ทั้งหมดนี้ในราคาที่คุ้มค่าและสมเหตุสมผลที่สุด แถมยังสะดวกสบายในการใช้งานประจำวัน
การเพิ่มราคาขึ้นเพื่อได้รับกล้องความละเอียดสูง 200MP และระบบชาร์จไวเร็ว 120W ทำให้รุ่นนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความสามารถในการถ่ายภาพที่มีความละเอียดสูง โดยเฉพาะการซูมภาพที่ไม่แตกและมีคุณภาพสูง นอกจากนี้ วัสดุที่ดูพรีเมียมมากขึ้นยังเพิ่มความหรูหราและคุณภาพในการใช้งานรวมถึงดีไซน์ที่น่าสนใจอีกด้วย รุ่นนี้จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคนที่ใส่ใจในการถ่ายภาพและต้องการสมาร์ทโฟนที่มีคุณภาพสูง พร้อมทั้งได้ความสวยงามของตัวอุปกรณ์ด้วย